วันศุกร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ตุรกีที่รัก ภาคที่ 2 13-21 กย 56 ที่นั่นกำลังขโมยลมหายใจเราไป

แบกเป้ตามใจฉัน  สไตล์ดอกไม้ทะเลทราย
ตุรกีที่รัก  ภาคที่ 2 13-21 กย 56 ที่นั่นกำลังขโมยลมหายใจเราไป

..................................

ทริปที่ 2 ในตุรกีค่ะ แต่คราวนี้จะไป ยังเมือง อัลตัลย่า หรืออัลทาเลีย หรือ อันทาลย่า Antalya  
เมืองตากอากาศอันดับต้นๆ ของโลกค่ะ 




อันทาลยา (Antalya) เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของอะนาโตเลียหรือเอเซียไมเนอร์ แถบบริเวณริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขา และยังมีเมืองอันทาลย่าที่เป็นเมืองศูนย์กลางการปกครองของจังหวัดอันทาลยาด้วย
จังหวัดนี้ตั้งอยู่บนที่ราบของแพมฟีเลีย (Pamphylia) ซึ่งในอดีตที่นานมาเล้วเป็นแผ่นดินที่เกิดจากการทรุดตัวของการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกที่เกิดมาจากแผ่นดินไหวและการระเบิดของภูเขาไฟ 


 ทริปนี้เราไปโดยสายการบิน เตอร์กิช แอร์ไลน์ บินไฟล์ 13 กย ในตอน 5 ทุ่ม กว่าๆ จากสุวรรณภูมิ บินตรงไปถึงในตอน เช้ามืด ของตุรกีที่อิสตันบูล แล้วเราจะต่อไปยังบรูซ่า เพื่อเยี่ยมเยือน สหายเก่าที่เคยช่วยเหลือเราไว้ในทริปที่แล้วที่ตุรกี พี่นิดแห่งบรูซ่า อิอิอิ แล้วจึงจะเดินทางต่อไปยัง Antalya แล้วไล่กลับมาจนถึง อิสตันบูล แล้วจึงจะบินกลับในวันที่ 21 กย 56 สู่แผ่นดินแม่ของเรา
เตรียมตัวจัดกระเป๋าแล้วค่ะ งวดนี้จะไม่เอาอะไรไปเยอะอีกแล้ว เข็ดเพราะขนเสื้อผ้าไปซะเยอะในรอบที่แล้ว แต่ใช้ไม่หมดค่ะ รอบนี้เรยเอาไปไม่กี่ชุดพอ เพราะใส่ซ้ำได้ อิอิอิ หวังว่าคงจะไม่มีใครมาดม
ส่วนนึงก็จะเป็นของที่หิ้วไปฝากเพื่อนๆ ที่โน่น คนไทยไกลบ้าน ได้มาม่าไปอย่างละนิดหน่อยพอได้หายคิดถึงเมืองไทย ............. ใจเต้นๆ สำหรับเรา อยากไปตุรกีเร็วๆ จัง อิอิอิ


ลมใต้ปีก ........ กี่ครั้งแล้วที่ทำความฝันเรากระจัดกระจาย กี่ครั้งแล้วที่พาเราไปยังจุดหมาย ไปยังถิ่นที่แสนไกล 
แต่จะมีผืนแผ่นดินใด ให้ไออุ่นเราได้มากไปกว่า แผ่นดินแม่ของเรา
รักนะประเทศไทย 
เด๋วจะกลับมาอัพเดต เรื่องราวการเดินทางนะคะ กับ ตุรกีที่รัก อิอิอิ


ออกเดินทางกันในตอน 20.30 น เวลาประเทศไทย จากสนามบินสุวรรณภูมิ 
ใช้เวลาเดินทาง ประมาณ 10++ ชม 





เอามาฝากค่ะ 
เนื่องจากมีโอกาสไปใช้บริการ รถเวียนฟรี จากการไปกลับระหว่าง ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ และที่สนามบินสุวรรณภูมิสามารถไปขึ้นรถได้ที่ ชั้น 2 ประตู 3 นะคะ 
และสาวพิดโลกอย่างดิชั้น ก้อจะใช้วิธีการเดินทางแบบนี้ คือนั่งรถบัสจากพิดโลกไปลงรังสิต แล้วต่อรถแท้กซี่ไปสนามบินดอนเมือง ประมาณ 70-100 บาท แล้วนั่งรถเวียนฟรีไปสุวรรณภูมิ พอกลับมาก้อนั่งรถเวียนฟรีจากสุวรรณภูมิ มาลงดอนเมือง
 แล้วค่อยต่อแท้กซี่ไปหมอชิตในราคา 100-120 บาท ค่ะ ประหยัดเยอะ อิอิอิ 
แต่ถ้ายังไง เผื่อเวลาในการเดินทางด้วยนะคะ เพราะ รถเวียน 
จะใช้เวลาในการเดินรถประมาณ 1.30 ชม 
ปล. แต่ถ้าจะไปต่อจากสนามบินสุวรรณภูมิแล้วไปส่วนอื่นๆ ในกรุ
งเทพมหานคร ก้อสามารถไปขึ้นรถเวียนฟรีได้จากชั้นที่ 1 จะมีรถเวียน พาเราไปยังสถานีขนส่งซึ่งอยู่ไม่ไกล แล้วสามารถไปต่อรถเมล์สายๆ อื่นได้ค่ะ หรือจะสามารถใช้บริการรถตู้ร่วมด้วย แท๊กซี่ หรือ แอร์พอร์ตลิ้งค์ได้เรยค่ะ

ถึงแล้ว สนามบิน อตาเตอร์ก อิสตันบูล ประเทศตุรกี ตามเวลาท้องถิ่นเรามาถึงที่นี่ ประมาณ ตี 5 กว่าๆ ผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมือง ไม่ต้องใช้วีซ่า ไมต้องกรอกเอกสารใดๆ
รับกระเป๋า แล้วออกมานั่งรอรถ 
วันนี้มีรถมารับเรา เพื่อไปยังจุดหมายของเรา อัลทาเลีย เมืองตากอากาศสุดคลาสสิค ชักอยากจะเห็นไวๆ ว่าไอ้น้ำทะเลสีเทอว์คว๊อยซ์ ที่เขาร่ำลือกัน ว่างามหนักหนา จะเป็นเช่นไร



จากสนามบินอตาเติร์ก เราขับข้ามสะพาน ผ่านทะเลมาร์มาร่า ไปยังฝั่งเอเชีย เพื่อจุดหมายแรกของเราคือเมือง เบอร์ซ่า ใช้เวลาประมาณ 3 ชม กว่าๆ จากอิสตันบูล 


วันนี้ที่อิสตันบูล ฟ้าครึ้ม มีฝนตกปรอยๆ ประปราย อากาศอยู่ที่ประมาณ 20 ++ องศา
 กำลังเย็นสบายเลยทีเดียว 

จากถนนหนทางทั่วไปในประเทศตุรกี เราจะเห็นภาพบุคคลท่านนี้ ได้ทั่วไป 

มุสตอฟา เคมาล อตาเติร์ก

เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเตอร์กีและได้นามสกุลใหม่คืออตาเตอร์ก (บิดาแห่งเตอร์กี)
 เป้าหมายของเขาก็คือต้องการให้เตอร์กยิ่งใหญ่โดยเน้นชาตินิยม

ผู้ซึ่งชาวตุรกีให้ความเคารพเป็นอย่างมากเรียกได้ว่า เป็นผู้เปลี่ยนรูปแบบชีวิตประชาชนตุรกีอย่างแท้จริง ที่นั่น ถึงจะเป็นประเทศมุสลิม แต่ก็สามารถใช้ชีวิตได้เสรีอย่างชนชนชาวยุโรปทั่วไป เราว่าเจ๋งมากๆ เรยนะ ที่ประเทศมุสลิมจะเป็นเมืองเปิดแล้วทันสมัยมากๆ แบบตุรกี 
ข้อมูลเพิ่มเติม http://khozafi-shahaan.blogspot.com/2010/10/blog-post_9546.html
 /> 





เมืองเบอร์ซ่า (BURSA) ซึ่งเป็นเมืองแห่งรีสอร์ทและสกี และเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของ
อาณาจักรออตโตมานบนอนาโตเลีย ก่อนที่จะย้ายไปอยู่ที่ฝั่งยุโรปและย้ายไปอยู่ที่ อิสตันบูล ในที่สุด 
เราไปเยี่ยมพี่นิด พร้อมทั้งของฝากและก้อของฝากซื้อ อิอิอิ คิดถึงจัง
 น้องน้ำแข็งสาวน้อยแห่งเบอร์ซ่า โตขึ้นเยอะเรย หลังจากทริปที่แล้วที่เราได้ไปมา พี่นิดรอทานอาหารเช้าพร้อมกัน โดยการไปทานอาหารเช้าที่หมู่บ้านอนุรักษ์ เป็นหมู่บ้านแบบดั้งเดิมที่สงวนไว้ เราไปหาอาหารเช้าแบบพื้นเมืองทานกันที่นั่น 


สิ่งแรกที่เราคิดถึง ก้อคือนี่เรย . ชาตุรกี ชาดำแต่ไม่ดำ ของชาวตุรกี ที่นิยมดื่มกันแทนน้ำเรย โดยอาจจะใส่น้ำตาลลงไป 1 -2 ก้อน เป็นเอกลักษณ์ของชาวตุรกีเรยนะ กับการดื่มชา 
ที่ชงมาในแก้วใบเล็กๆ ทรงดอกทิวลิป 

การชงชาสไตล์ตุรกีนั้น จะมี 2 หม้อ ตั้งเทินกัน โดยหม้อล่างจะเป็นน้ำเปล่าต้มจนเดือด ส่วนหม้อบน จะเป็นหม้อต้มใส่ใบชา น้ำชาที่ได้จากหม้อบนจะเข้มข้นมาก เราจะรินหม้อบนใส่แก้วเพียง ครึ่งแก้ว หรือ 1 ใน 4 สำหรับคนที่ไม่ชอบดื่มเข้มๆ แล้วจึงรินน้ำจากหม้อที่สองลงไปผสมเพื่อเจือจาง จากนั้นจะเสริฟแก้วชา ในจานรองเล็ก แล้วแนบข้างไปกับน้ำตาลก้อนๆ 

การทำแพนเค้กแบบโบราณ อิอิอิ สไตล์ ตุรกี จะนำแป้งมานวด แล้วแผ่ให้เป็นแผ่นบางๆ แล้วจะนำขึ้นย่างบนเตาฟืนกลมๆ นูน ย่างกลับไปกลับมา แล้วใส่ไส้ มีทั้งมันฝรั่ง ชีสแบบเค็ม อร่อยดีนะ 

หน้าตาที่ได้ ก้อจะประมาณนี้ แต่บางทีเขาก้อจะม้วนใส่กระดาษ รูปร่างคล้ายๆ โรตีบ้านเรา กินตอนร้อนๆ จะอร่อยมาก ขอบอก อิอิอิ


อันนี้ จะเป็น ใบองุ่นเขาจะนำทั้งใบมาต้มกับน้ำมันมะกอก แล้วนำมาห่อข้าวที่เขาปรุงรสไว้แล้วข้างใน แล้วนำมาม้วนๆ รสชาติจะออกเปรี้ยวนิดๆ
 ของใบองุ่นแล้วก้อความมันๆเค็มของข้าวก้ออร่อยไปอีกแบบ 




ชอบหลังคาแบบไม้เลื้อยของร้านนี้ เขาเอาต้นอโวคาโด้มาปลูกแล้วให้เลีื้้อยไป นอกจากจะได้ร่มเงาแล้ว ยังเด็ดผลสดๆ มากินได้ด้วย อิอิอิอิ แหม ห้างบ้านเรา ลูกนึงตั้งหลายตังค์แน่ะ 

หลังจากกนั้นก็เดินเล่น ดูบ้านเรือนเก่าๆ วิถีแบบเดิมๆ หมู่บ้านนี้ไม่เสียค่าเข้าชมนะคะ 

ตลาดเล็กๆ ในหมู่บ้านอนุรักษ์

ขนมปัง ที่นี่กินกันเหมือนเรากินข้าว โดยการนำขนมปังมาหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วเสริฟ์ จิ้มกับแยม กินกับชีส สารพัด ถ้าไม่ติดว่ากินแล้วอ้วนนะ เราจะซัดให้อิ่มเรย ขอแนะนำว่า ถ้าใครที่อ้วนง่าย
 กรุณาอย่ากินขนมปังเยอะ เพราะน้ำหนักจะขึ้นไม่รู้ตัว อิอิอิ

พี่นิดซื้อสตอเบอรรี่สดๆ ด้วย มา 2 ถาด โดยแบ่งให้เราถาดนึง สตอเบอรรี่ที่นั่น สดแล้วก็ถูกมากๆ กิโลนึงไม่ถึง 50 บาท แล้วลูกก้อโตๆ อร่อยด้วย 


ทริปนี้ต้องขอบคุณพี่สาว กับพี่ชาย จริงๆ มาเบอร์ซ่าทีไร ก้อต้องมารบกวน พี่นิดกับครอบครัวตลอด อิอิอิอิอิ หลังจากเดินเล่น ดูนั่นดูนี่ เราก้อต้อง อำลาพี่นิดไปก่อน เพื่อไปต่อยังอันทาเลีย 
ด้วยรถ ใช้เวลา ประมาณ 5-6 ชม ++ ขับยาวไปจากเบอร์ซ่า 



จากเบอร์ซ่า เราก้อมุ่งหน้าไปต่อยังอันทาเลีย อากาศค่อนข้างแห้งนิดนึง
หลังจากออกจากเบอร์ซ่า แดดร้อน แต่ลมค่อนข้างเย็น พาเราครั่นเนื้อครั่นตัวพิกล 

แวะเติมน้ำมันกันสักหน่อย พร้อมกับเข้าห้องน้ำ บางปั๊มห้องน้ำจะอยู่ด้านใน 
บางปั๊มก้อจะอยู่ด้านนอก ปั๊มนอกๆ เมืองที่นี่ ค่อนข้างเงียบๆ เหงาๆ 
แต่ก้อมีปั๊มถี่เหมือนกันนะ ได้อารมณ์ดี อิอิอิ


นี่ซิ ตุรกีของแท้ เพราะ Turkey แปลว่า ไก่งวง จ้าาา

ตอนนี้เราก้อต้องรีบชิ่งจากปั๊มนี้ละ แหม ทั้งเป็ดทั้งห่านมันกรูกันเข้ามาหา เดี๋ยวจะเสียท่าตุรกี

พื้นที่สองข้างทางระหว่างไปอันทาเลีย ค่อนข้างแห้งแล้ว เพราะเขาไถทำไร่มันฝรั่งกันซะส่วนใหญ่ แดดค่อนข้างแรง แถวๆ นี้ ถนนไฮเวย์เขาก้อดีนะ แน่นหนาดี ตลอดทั้งสาย
 แม้จะมีบางช่วงที่เขาทำถนนกัน ถ้าเป็นบ้านเราล่ะก้อ เด๋ว หลุม เด๋วหลุม ไม่จบ 


เรามาถึงอัลทาเลียในตอน 2 ทุ่มกว่าๆ คึกคักมากๆ ที่นี่ แต่ที่พักของเราจะอยู่ห่างจากอันทาเลีย
ออกไป อีก 30 กิโลเมตร เราเลือกพักที่ โรงแรมอิมพีเรียล ดีลักซ์ เป็นโรงแรมกับชายหาดส่วนตัว

โรงแรมมีหลากหลายราคาให้เลือก ตั้งแต่ราคาห้องละ 3000+ + ขึ้นไป โดยจะรวมอาหารทั้ง 3 มื้อ
 ผ้าขนหนู สปา ฟิตเนส ผับ ดิสโก้ บาร์เครื่องดื่มที่สั่งกินกันได้ตลอด ชายหาดส่วนตัว 
พร้อมการ์ดคอยดูแล นอนอาบแดดกันได้ทั้งวัน ถือว่าคุ้มนะ เราไปอยู่ตั้ง 5 วัน ไม่ต้องทำอะไรเรย นั่งๆ นอน ๆ กิน ว่ายน้ำ อาบแดด สมกับเป็นวันพักผ่อนจริงๆ แถมถามไถ่กันไปมา
เราเป็นชาวไทยเพียงผู้เดียวที่มาที่นี่ ในซีซั่นนี้ อิอิอิ 
เวปไซต์โรงแรม
http://www.imperialdeluxe.com/default.php?page=odalar





ดูจากแผนที่เราขับรถมาจาก Bursa ผ่านเส้น Eskisehir ผ่านเส้น Kuthaya ลงมาเรื่อยๆ อีก 400 ++ โล จาก Eskisehir ถือว่าทำเวลาได้ดีพอสมควร อาจจะเป็นเพราะที่ 1 ทุ่ม ก้อยังแดดเปรี้ยงอยู่เรยมั้ง
 เรยรู้สึกว่า กลางวันมันช่างยาวนานเสียจริง

อ้ะ อ้ะ หลังจากเมื่อคืนที่เรามาถึงที่นี่แล้ว พักผ่อน ตื่นมาสายไปนิดนึง สิ่งแรกที่เราอยากเห็นที่สุด ก้อทะเลอัลทาเลีย เย้ เย้ เย้ ทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน น้ำทะเลสีฟ้าเทอว์คว๊อยซ์ สีสวยแปลกตากว่าทะเลที่เราเห็นมา ภาพนี้สีอาจจะไม่สวยเท่าที่ตาเห็น แต่ขอบอก ของจริงสวยมากกกกกก

ดื่มด่ำกับทะเลสักหน่อย แดดแรง ลมเย็น ไม่รู้สึกร้อน แต่ก้อร้อน เพราะสิ่งที่ได้แถมมา จากที่นี่ 5 วัน นั่นก้อคือความดำ และกระ อีกจำนวนนึง ซึ่งกลับเมืองไทยไป 
คงจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน เพื่อรักษา เฮ้ออออ ทะเล ทะเล

หาดส่วนตัว ที่นี่แต่ละโรงแรมเขาจะแบ่งกันอย่างชัดเจน เขตใครเขตมัน แต่เสียอย่าง 
ตรงทะเลที่เรายืนอยู่ ไวไฟมันมาไม่ถึง อิอิอิ แต่เห็นอีกของโรงแรมนึง ไวไฟ กระจุยกระจายเชียว




แอบดูซิ หนุ่มๆ ข้างบ้านเขาทำไรกันว้าาา 


ชักจะตกหลุมรักทะเลที่นี่แล้วสิ นักท่องเที่ยวนิยมมาพักกันที่เป็นอาทิตย์ ว่ายน้ำอาบแดดกันอย่างสบายใจ ค่ำ ก้อลงมาดูโชว์ที่ทางโรงแรมจัดให้มีทุกคืน ดึกๆหน่อยก้อไปเต้นกันต่อที่ดิสโก้
 ที่ว่ายน้ำทั้งกลางแจ้ง ในร่ม หรืออยากจะไปว่ายน้ำทะเลก้อไม่ว่ากัน 
แต่อย่างน้อยเราก้อได้รู้ว่า สาวไทยนี่ว่ายน้ำทะเลเก่งเหมือนกันนะ อิอิอิอิ ชมตัวเอง

ผ่านไป 1 วันกับทะเลสีสวย วันนี้เราตื่นแล้ว ขอเข้าไปสำรวจตัวเมืองอันทาเลียกันหน่อย ขับออกไป 30 โล จากโรงแรม สู่ตัวเมืองอันทาเลีย เป้าหมายแรก ขอเป็นพิพิธภัณฑ์ 
ไปย้อนรอยประวัติศาสตร์กันซะหน่อย พอให้ขนลุก เล่นๆ 


ก้อบอกแล้วไงล่ะ 
-โลกนี้ไม่เคยมีเรื่องบังเอิญ-




ข้างทางเลียบชายทะเล ที่นี่เป็นหาดสาธารณะ ผู้คนนิยมมาว่ายน้ำอาบแดดกันพอสมควร จะมีร้านอาหาร เครื่องดื่ม เรียงรายกันอยู่เป็นระยะๆ เสียแต่แดดแรงไปหน่อยสำหรับเรา ไม่ลั้นล่ะมีเฮแน่ 

ก้อขับกันไปแรื่อยๆ ที่นี่สวยมากๆๆ สมแล้วกับที่ร่ำลือกันว่าเป็นเมืองตากอากาศที่โรแมนติกจริงๆ
เราขับเข้าไปย่านเมืองเก่า ก่อนหนึ่งรอบ ตามหาพิพิธภัณฑ์ก่อนเบื้องต้น 


ชอบจังอันทาเลีย

พิพิธภัณฑ์อันทาเลีย อยู่ต้นๆถนน เกือบถึงอ่าวโค้งอันทาเลีย เป้าหมายแรกของเราที่เมืองนี้ 
เป็นไงล่ะ แค่รูปปั้นตรงหน้าทางเข้า ก็ใจเต้นไม่เป็นจังหวะซะแล้ว 



ชอบๆๆๆๆ อ่าาา 
ไม่รู้เป็นไร ชอบอะไรที่มันโบราณ โรมัน เสียจริง 

ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์อันทาเลีย คนละ 15 Tl (เทเล 1 = 17 บาท) หรือถ้าที่อันทาเลีย 
เราจะไปเที่ยว ชม เมืองโบราณหลายๆที่ด้วย เช่น เมืองพอร์เก้ เมืองซิเด้ เมืองเอสเพนโดส
 เมืองซิลยอน ก้อสามารถซื้อบัตร แบบ หักเงินเลยก้อได้ คือไปยื่นเข้าได้ทุกที่ มีตั้งแต่ราคา 50 Tl 
ขึ้นไป เพราะเมืองโบราณทุกที่ในอันทาเลีย เสียค่าเข้าชม ที่ละ 15 Tl ซะส่วนใหญ่ 
ประมาณ 255 บาท/ 15 Tl 

เดินผ่านประตู สอดตั๋วแล้วเข้าไปได้ จุดแรก ก้อคือการจำลองเมือง ต่างๆ ให้เราได้ดู 
ได้จินตนาการกัน ว่าในอดีตมันมีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ 
เมืองเพอร์เก (Perge) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองอันทาลย่าประมาณ 18 กม.ในอดีตมีความสำคัญซึ่งย้อนหลังไปได้ในยุคบรอนด์ของโลกโบราณอีกแห่งหนึ่ง ได้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของพวกฮิทไทต์เมื่อประมาณ 1500 ปีก่อนคริสตกาล เป็นเมืองโบรานของพวกกรีกที่มีความสำคัญในยุคของเฮเลนิสติค และยังเคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นแพมฟีเลียที่มีชื่อเสียง
ในสมัยของอเล็กซานเดอร์มหาราช สามารถยึดครองนครแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าชาวเมืองเพอร์เก้ได้ทำข้อตกลงว่า จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงคราม และเมืองนี้ก็ไม่มีกำแพงไว้ป้องกันศัตรูด้วย ซึ่งต่อมาเมื่อเซลิวซิสได้ปกครองบริเวณนี้ได้ทำให้เมืองนี้มีความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งได้มีการสร้างกำแพงประตูเมืองและป้อมยามขึ้นเป็นครั้งแรก และหอคอยที่สร้างขึ้นยังคงอยู่จนถึงบัดนี้ นอกจากนั้นยังเป็นเมืองที่นักบุญปอลได้เดินทางมาที่เมืองนี้ หลังจากเดินทางกลับมาจากเกาะไซปรัส


เมืองเอสเพนโดส กับ แบบจำลองเมือง แต่เมืองนี้เราไปดุด้วยตา แต่เราไม่ได้ไป เมือง พอร์เก้ 
เดี๋ยวจะลงภาพของเมือง เอสเพนโดสแล้วก้อเรื่องราว ให้เพื่อนๆดูค่ะ 

เข้าไปข้างใน เดินดู หม้อไห จานชาม อะไรต่อมิอะไร ที่เขาขุดค้นพบ กันจากเมืองต่างๆ ในยุคอดีต วันนี้คนไม่ค่อยเยอะเท่าไร แต่เขาบอกว่า หากจะไปที่ไหน หากอยากรู้อะไรของที่นั้นๆ แล้วไม่รู้จะไปไหน ก้อควรจะไปดูพิพิธภัณฑ์ของเขา ที่นี่ กำกับทั้งภาษาตุรกี และอังกฤษ แล้วอังกฤษในแบบของเรา ก้อใช่ว่าจะรู้เรื่อง อิอิอิอิ แต่เราใช้หัวใจสัมผัสแทน ฮิ้วววววววววววว


เดินชมทุกอย่าง ทุกมุม รู้มั่งไม่รู้มั่ง แต่ก้อโอนะ แหม พิพิธภัณฑ์ที่คนไม่เยอะ แต่ที่นี่เราว่าใหญ่นะ ค่อนข้างกว้าง เขาจะมีที่นั่งพักให้ด้วย เพราะบางทีเราเองเดินไปเดินมายังรู้สึกว่าเมื่อยเรย 

พอมาถึงโซนนี้ จะเป็นรูปปั้นต่างๆ ของบุคคลสำคัญในสมัยโรมัน เช่น กษัตร์ฮาเดรียน Emperor Hadrian , Emperor Septimius ต่างก้อถูกค้นพบที่เมืองพอร์เก้ ดูจากรูปปั้นแล้ว สมัยนั้นมันคงยิ่งใหญ่จริงๆนะ เป็นยุคสมัย ที่รุ่งเรืองแล้วก้อคลาสสิคมากๆ ชักจะเคลิ้มไปกับยุคนั้นซะแล้วสิ 







ห้องนี้เป็นห้องที่แสดง แต่ เรื่องเกี่บวกับหัวล้วนๆ เพราะในช่วงสมัยสงครามกองทัพที่เข้ามายึดได้ในสมัยนั้นจะล้มล้างความเชื่อของคนพื้นเมืองที่นับถือเทพเจ้ากัน โดยการเผยแพร่ศาสนาคริสต์แทน จึงสั่งตัดหัวรูปปั้นของเทพเจ้าต่าง ๆ นี่ เป็น ศรีษะของ เทพ อพอลโล ทำจากหินอ่อน 
การแกะหินเราว่าแกะได้อ่อนช้อยและงดงามมากๆ เรยนะ 



ที่นี่จะเป็นโซน กล่องที่เห็นนั่น คือโลงศพ ที่นิยมแกะสลักลวดลายลงไป อลังการกันไปตามฐานะ กับภาพวาดบนบานประตูหน้าต่างไม้ ในยุคที่ศาสนาคริสต์กำลังเผยแพร่มายังดินแดนแห่งนี้



โซน การแต่งกายสมัยโบราณ



การเดินชมเดินวนไปเรื่อยๆ มี 2 ชั้น สำหรับพิพิธภัณฑ์ที่นี่ มีเจ้าหน้าที่เดินตรวจตรากันเป็นระยะ ๆ ศิลปะที่นี่คงประเมินค่ามิได้ เพราะมันยิ่งใหญ่จริงะ นะ
 เราว่าเดินจนหมดแล้ว ด้านหลัง ก้อยังมีศิลปะอีกบางส่วน ที่ตั้งอยู่ด้านนอก 
                              มีร้านขายของที่ระลึก เครื่องดื่ม นั่งชิวๆ จิบน้ำเย็นกันก่อนกลับ 
                                           จากนี่ เราจะไปยังย่านเมืองเก่าของอันทาเลีย



ออกจากพิพิธภันฑ์เราขับตรงมาตามถนน จะมีป้ายบอกทางไปยังย่านเมืองเก่า หาที่จอดรถ แล้วก้อลงเดินเล่นชมเทืองก่อน ผ่านด่านแรก คือโซนร้าานอาหาร คนคึกคักเสียจริง ทั้งคนตุรกี ทั้งนักท่องเที่ยว ที่หลั่งไหลกันมาสู่อันทาเลีย ในช่วงเดือน กันยายน ซึ่งเดือนนี้ถือได้ว่า
  เป็นเดือนแห่งการพักผ่อน เพราะอากาศไม่หนาว ไม่ร้อนจนเกินไป กำลังสบายๆๆ 



เดินเล่นชมย่านเมืองเก่า กันดีกว่า ที่นี่จัดได้ว่า เป็นย่านการค้าย่านนึง เต็มไปด้วยร้านรวงขายของกันมากมาย ทั้งของฝาก ของกิน ของใช้ ร้านต่างๆ เดินกันได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ 




เดินเล่นกันไปเรื่อย จะมีตรอกซอยซอยเยอะแยะ แต่ที่ตุรกี ภูมิประเทศส่วนใหญ่จะเป็นเขาติดทะเล จึงไม่ค่อยมีพื้นที่เรียบๆ ส่วนใหญ่ก้อขึ้นลงๆ ลดหลั่นกันไปพอได้เหงื่อ และเสียงหอบแฮ่กๆ จากนี้เราจะเดินลงไปยังท่าเรือข้าง่ลางดีกว่า ระหว่างทางก้อผ่านร้านรวงมากมาย ราคาน่าคบอยู่ อิอิอิ




เดินลงมาท่าเรือก้อจะ จ๊ะเอ๋ กับตรงนี้ จุดทัวร์เรือที่ไม่ควรพลาด กับการล่องเรือชมทัศนียภาพของทะเลที่อันทาเลีย มีบริการทั้งเรือเล็กเรือใหญ่ แล้วก้อแตกต่างกันตามราคา มีตั้งแต่ 1 ชั่วโมง 2 ชั่วโมง ไปจนถึง 1 วัน แต่เราเลือกที่ 2 ชม กำลังดี ขำๆ อ่ะนะ มาแล้วทั้งที่จะไม่ไปล่องเรือก้อกระไร สนนราคา จัดไปคนละ 30 Tl ต่อ 2 ชม ไม่มีอะไรบริการเพิ่ม แต่หลังออกเรือไป เขาก้อจะมีพวกน้ำดื่มมาขาย แนะนำว่า ก่อนเรือจะออก ไปหาซื้อ ขนม น้ำดื่มให้เรียบร้อยดีกว่า 
จะได้นั่งกินเล่นแก้เซ็ง 5555555



นั่งรอคนสักพักนึง เรือก้อจะออกจากท่า วันนี้บนเรือมีนักท่องเที่ยวประมาณ 10 กว่าคน เรานั่งชั้นบนของเรือ ดูทิวทัศน์ แดดแจ่มใสดีวันนี้ พร้อมๆ กับอาการป่วยของเรา อิอิอิอิ ไม่ชอบเรย
 ป่วยแล้วยังต้องมาเที่ยว แต่มาตุรกีเชียวนะ ถึงป่วยก้อจะมา 555



เรือออกแล้ว ทะเลสีสวยจัง ชอบๆๆ ดูวิวบนฝั่ง โรงแรมหรูๆ หลายโรงแรม ตั้งตระหง่านกันอยู่บนผาเรยทีเดียว แถมยังทำทางให้ลงมาเล่นน้ำด่านล่างผาได้ด้วย เป็นร้านอาหาร
แบบมีลิฟท์ลงมาจากผาก็มี เจ๋งอ่า อันทาเลีย


จุดชมของที่นี่ ตามโพยบอกว่า ใน 2 ชม คุณจะได้เห็นอะไรบ้าง 1 เราเห็นช่องแคบน้อยๆ น่ารักๆๆ 

2 น้ำตกเล็กๆ พอให้เห็นว่า มันคือน้ำตก หรือน้ำเสียจากพวกโรงแรมหรือท่อระบายน้ำจากเมืองกันแน่วะ แต่คงเป็นน้ำตกอ่ะนะ แต่มันเล็กไปหน่อย 

3 น้ำตกใหญ่ แต่ถ้าใครซื้อแบบ 1 ชม คุณก้อจะมาไม่ถึงน้ำตกใหญ่ อิอิอิอิ 

สรุปว่า ถ้ามาแล้วไม่ควรคิดมาก คิดซะว่านั่งเรือเล่น สำหรับชาวเอเชียตาดำๆ อย่างเรา การได้มาเยือนทะเลในแถบเมดิเตอร์เรเนี่ยน นี่มันก้อถือว่า มีวาสนาล้นเหลือแล้ว แม้จะมาอย่างทุลักทุเลก้อเถอะ ทั้งหลง ทั้งเหนื่อย เงินก้อติดกระเป๋ามาอย่างจำกัด มาแค่ให้รู้ว่า ขอให้มีโอกาสเถอะ เราจะไม่ลังเลที่จะคว้ามันเลย


เพราะบางครั้ง โอกาสในชีวิตคนเรา มันก้อมีมาเพียงครั้งเดียว 



ถึงน้ำตกใหญ่แล้ว ละอองน้ำกระเซ็นเป็นฝอยๆ เย็นชื่นใจ ก้อคงมีตรงนี้แหละนะ ที่ดูแล้วจะเป็นเรื่องเป็นราวหน่อย เรือจะจอดให้ชม ให้ถ่ายรูป ให้พักผ่อนกันสักครู่ หรือใครจะอยากเล่นน้ำ 
ก้อเชิญโดดลงไปได้เรย ทั้งลำ ก้อมีคู่นี้แหละนะ ที่อยากจะเล่น
 แต่เราว่ายกันมาทั้งวันที่โรงแรมแล้ว
 เลยขี้เกียจว่ายอีก อิอิ



ถัดไป เรือลำใหญ่ก้อตามเรามาติดๆ เรือนั้นก้ออีกราคานึง ซึ่งจะไปไกลกว่า ลำของเราอีก 


กลับมาถึงท่าเรือ ก้อ 3-4 โมงเย็นแล้ว วันนี้คงกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมก่อน เราจะรีบกลับไปอาบน้ำแบบเตอร์กิชบาท การอาบน้ำ แบบโบราณ อิอิอิอิ พร้อมอบซาวน่าแบบเผาถ่านหิน 
ไล่หวัดซะหน่อยดีกว่า


อำลาทะเลที่ตัวเมืองอันทาเลียไปซักหน่อยด้วยภาพนี้



กลับไปถึงโรงแรม ก้อรีบมา อบซาวน่า กับลองอาบน้ำแบบเตอร์กิชบาท ถ้าเป็นของแท้ จะมีคนมาขัดตัว แล้วก้ออาบให้ แต่ที่โรงแรมนี่จำลองขึ้นมาให้ผู้ที่มาพัก ได้สูดกลิ่นอายโบราณดูบ้าง 
ที่ห้องอาบน้ำ จะมีอ่างๆ ไว้ใส่น้ำ มี 2 ก๊อก ผสมได้ทั้ง น้ำร้อน น้ำเย็น ก้อจะอาบน้ำตรงนี้ แล้วขึ้นไปนอนนวดตัว ขัดตัว ได้จากแท่นใจกลาง อุณภูมิให้ห้องนี้ จะอุ่นๆ ร้อนๆ
 แต่ก้อรู้สึกสบายดี ถัดไปก้อจะเป็น
ห้องซาวน่า มีทั้งแบบถ่านหิน และปรับอุณหภูมิ ได้ มีสระว่ายน้ำในร่ม แล้วก้อฟิตเนส



อ๊ะ อ๊ะ ที่นี่ มีสปา แล้วก้อนวดไทย ด้วยจ้าาาาา เราพยายามมองๆ นะ เผื่อจะเจอ
คนนวดที่เป็นชาวไทย แต่ก้อไม่เห็นมีเลย เลยออกไปต่อที่ริมทะเล หาไรเบาๆ ดื่มๆ ดีกว่า 


เดินเลยไปริมทะเล กับสระว่ายน้ำกลางแจ้ง เลือกเครื่องดื่มจากบาร์ มาจิบชิวๆ ว้อดก้า ผสมน้ำผลไม้ อิอิอิ นัว สุดๆ พริ้มเรยเรา นั่งดื่มสักพัก ก้อกลับไปอาบน้ำ มาทานอาหารเย็น แล้วไปดูโชว์ต่อริมทะเล วันนี้ทางโรงแรมจัด วงดนตรีมาเล่นสด สนุกแล้วก้อเพราะดี จิบว้อดก้าเบาๆ หลับสบายแน่คืนนี้


ตื่นขึ้นมายามเช้าสักหน่อย ไปเล่นน้ำอาบแดดให้ชื่นใจ ก่อนที่ตอนบ่าย หลังอาหารเที่ยงเราจะไปเมืองเก่า วันนี้เราเลือกที่จะไปเยี่ยมชมเมือง เอสเพนโด กับ ซิเด้ 





ทานอาหารเที่ยงเสร็จ เราก้อออกเดินทางกลับยังตัวเอมืองอันทาเลีย เพื่อไปยังเมืองแรก
 คือ เอสเพนโดสซึ่งอยู่ห่างจากอันทาเลียไป 40 กม 



ทางเข้าเอสเพนโดส เจอจุดแรก แต่ที่นี่ไม่เสียค่าเข้า 



สะพานนี้สร้าง สไตล์โรมัน ในยุค อนาโตเลีย เก่ามากๆเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไร
 คงเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่่แวะชมได้อยู่ ก่อนไปยังจุดอื่น 
แต่ตอนที่เราไป สะพานนี้กำลังบูรณะ ปรับปรุง บางคนก้อมาตกปลา น้ำที่นี่ ก้อสีสวยนะ เราชอบจัง 



ขับต่อไปอีก ประมาณ 3-4 กิโลเมตร สู่โรงละครอันยิ่งใหญ่ในสมัยโบราณ 
ที่นี่จะเสียค่าเข้าคนละ 15 TL 



เมืองแอสเพนโดส (Aspendos) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองอันทาลย่าทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 40 กม. เป็นเมืองโบราณของพวกกรีกและโรมัน เมืองนี้นับได้ว่าเป็นเมืองเก่าแก่ของดินแดนแพมฟีเลีย ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำยูรีเมดอน อยู่ห่างจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนประมาณ 16 กม.
 นอกจากนั้นยังมีเขตแดนติดกับเมืองโบราณซิเด้ (Side) อีกด้วย
เมืองนี้ถูกสร้างขึ้นในราว 1000 ปีก่อนคริสตกาล โดยพวกกรีกซี่งได้อพยพมาจากอาร์กอส ซึ่งต่อมากลายมาเป็นเมืองโบราณสถานที่มีชื่อเสียงมาก ตามตำนานโบราณของกรีกเมืองนี้ได้ถูกสร้างโดยอาร์กีฟ ผู้ที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่ที่บริเวณนี้ภายใต้การควบคุมของม๊อพซอส
 ผู้ซึ่งได้เดินทางมายังดินแดนแห่งนี้ภายหลังสงครามกรุงทรอยได้จบลง
เมืองนี้ได้ถูกปกครองโดยพวกเปอร์เซียที่ยกทัพเข้าทางด้านตะวันออก ในปี 546 ก่อนคริสตกาล ในปี 467 ก่อนคริสตกาลแม่ทัพนายกองทหารซีมอน ได้คุมกองเรือรบ 200 ลำ พร้อมด้วยกลยุทธทางทหารได้เข้าทำลายกองทัพเรือของเปอร์เซียย่อยยับไป พวกเปอร์เซียได้เข้ามายึดครองเมืองนี้อีกและใช้เป็นฐานทัพทางเรือในปี 411 ก่อนคริสตกาล จนกระทั่งกองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราชได้เข้าในปี 333 ก่อนคริสตกาลหลังจากที่ยึดเมืองเพอร์เก้ได้สำเร็จ ผู้ครองเมืองก็ได้ส่งทูตเข้ามาเจรจาและยอมส่งเครื่องราชบรรณาการให้แทนการให้กับพวกเปอร์เซีย และเมื่อเรียบร้อยแล้วก็ได้ยกทัพต่อไปยังเมืองซิเด้โดยทิ้งกองทหารรักษาเมืองไว้ จากนั้นก็ยกทัพไปยังเมืองซิลลยอน แต่ก็ได้ทราบข่าวว่าผู้ครองเมืองได้ผิดข้อตกลงที่ทำไว้และเตรียมกองกำลังที่จะต่อสู้ จึงได้ยกกองทัพกลับมาพร้อมกับเรียกร้องเครื่องราชบรรณการมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก คือ ทองคำ 100 ทาเล้นท์ พร้อมด้วยม้า 4000 ตัวเพื่อเป็นค่าภาษีรายปี ต่อมาในปี 190 ก่อนคริสตกาลเมืองนี้ก็ตกเป็นของพวกโรมันและอาณาจักรไปแซนไทน์ 


ในศตวรรษที่ 13 ชาวเซลจุกเติร์กได้เข้าพักที่โรงละครระหว่างการเดินทางของกองคาราวาน
เมืองนี้มีโบราณสถานที่มีชื่อเสียงและได้ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี คือ โรงละครโรมัน (Roman Amphitheater) ซึ่งมีความสวยงามถูกสร้างโดยพวกกรีกในรูปแบบของโรมันในปี ค.ศ.155 ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของมาร์คัส ออเรลีอุส (Marcus Aurelius)โดยการออกแบบของคนพื้นเมืองชาวกรีกชื่อ เซนอน (Zenon) มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวประมาณ 96 เมตรและสามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 15,000 คน และมีเคล็ดลับในเรื่องระบบเสียงสะท้อนอันยอดเยี่ยม มีเวทีแสดงด้านหลัง ที่ถูกสร้างขึ้นหลายชั้นเหมือนกับอะพาร์ตเม้นท์ ที่มีห้องสำหรับนักแสดงเพื่อไว้เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย นอกจากนั้นทางด้านซ้ายและด้านขวายังมีทางที่ยื่นออกไปเหมือนกับระเบียงที่ติดต่อกับที่นั่ง ซึ่งด้านขวาจะเป็นส่วนที่สำหรับจักรพรรดิเท่านั้น หลังจากที่กองคาราวานของพวกเซลจุกพักได้ที่นี่ ก็มีการต่อเดิมเพิ่มซุ้มประตูโค้งรูปแบบของอิสลามเข้าไปทางด้านเหนือของปีกด้วย และมุสตาฟา เคมาล อะตาเติร์กก็ได้เสนอให้ใช้สถานที่แห่งนี้จัดมวยปล้ำอีกด้วย
ตลอดเวลาอันยาวนานที่ผ่านมาเกือบ 2000 ปี สถานที่แห่งนี้ก็ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดยได้ผ่านภัยพิบัติต่างๆไม่ว่าจะเป็นสงครามนองเลือดหรือจะเกิดแผ่นดินไหว และในปี ค.ศ.1994 จนถึงปัจจุบันนี้ ในฤดูร้อนของทุกๆปีก็ได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่จัดแสดงโอเปร่าและบัลเลท์ (Aspendos International Opera and Ballet Festival)


ที่นี่จะมีหนุ่มๆแต่งชุดแบบ นักรบ แกลดดิเอเตอร์ คอยถ่ายรูปให้นักท่องเที่ยวด้วย อิอิอิอิ แต่เสียตังค์นะคะ เขาจะให้นามบัตรไว้ แล้วให้เราไปเลือกรูปตอนกลับ ถ้าอยากเสียตังคื ก้อติดต่อกลับไป เราอ่ะอยากได้มากๆ แต่ทำนามบัตรหายไป เสียดายอ่าาาาาาาาาาาาาา


นักท่องเที่ยวมากันคึกคักมากมาย จากตัวเมือง เราสามารถหาจุดบริการทัวร์ได้ สำหรับการเที่ยวชม 4 เมือง ไล่มาตั้งแต่ พอร์เก้ ซิลยอน เอสเพนโดส แล้วก้อ ซิเด้ แต่เราดูราคา แล้ว หลายเหรียญเรย เป็นเงินไทย ก้อ 3-4 พัน อัพ แต่เขาก้อพาไปครบทุกที่เรย ทุกเมือง โดยรถบัส ถ้ามีเงินกับเวลา เราว่าคุ้มนะ เพราะแต่ละเมืองห่างกันพอสมควร แล้วค่าเข้าแต่ละที่ รวมกันแล้ว ก้เป็นพัน ++ แล้วล่ะ อย่างเมืองซิเด้ เอง ก้อยังไปจากตัวเมืองอันทาเลียตั้ง 80 โล แต่อยู่ห่าง จาก เอสเพนโดส ประมาณ 16 กม 



ออกจากเอสเพนโดส เป้าหมายต่อไปก้อคือ เมืองซิเด้ 


เมืองซิเด้ (Side) ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของจังหวัดอันทาลย่าอยู่บริเวณริมชายทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ห่างจากตัวเมืองอันทาลย่าทางด้านตะวันออกประมาณ 70 กม. ในปัจจุบันมีชื่อเสียงทางด้านการท่องเที่ยว มีการสร้างที่พักโรงแรมและรีสอร์ทมากมาย
ซิเด้เป็นเมืองโบราณที่มีชื่อเสียงอีกเมืองหนึ่ง ถูกสร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาลโดยพวกกรีกที่มีการตั้งถิ่นฐานจากไซเม่ในแอโอลิสทางด้านตะวันตกของอะนาโตเลีย มีการสร้างท่าเรือเพื่อสำหรับจอดเรือขุดลำเล็ก เพื่อให้เป็นจุดศูนย์กลางของการค้าขายสินค้าทางน้ำในบริเวณนี้ และเมื่อพวกไซเม่ได้อพยพมาที่เมืองนี้ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจภาษาของพวกซิเด้ได้ จึงได้มีความพยายามสื่อสารและปรับตัวให้เข้าใจในภาษาท้องถิ่น และก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ตลอดมา


ในปี 333 ก่อนคริสตกาล กองทัพของอเล็กซานเดอร์มหาราชได้เข้ายึดเมืองซิเด้ได้สำเร็จ โดยตั้งกองกำลังไว้ดูแลเมืองซิเด้ และพวกนี้ก็ได้มีการแนะนำสั่งสอนเกี่ยวกับวัฒนธรรมของพวกกรีกเฮเลนิสติคให้กับคนของเมืองนี้ จนกระทั่งมีความเจริญรุ่งเรือง และภายหลังเมื่อสิ้นยุคของอเล็กซานเดอร์แล้ว ก็ได้ถูก ปกครองโดยแม่ทัพที่มีชื่อว่า พโตเลมี ที่ 1โซเทอร์ ผู้ซึ่งได้สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์แห่งอียิปต์ในปี 305 ก่อนคริสตกาล จากนั้นเมืองก็ถูกยึดครองโดยอาณาจักรของซิลิวซิดในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ต่อมาในปี 190 ก่อนคริสตกาล พวกกรีกที่อยู่บนเกาะโรดส์ ได้รับการสนับ
สนุนจากพวกโรมันและนครเพอร์กามัม ก็ได้เข้าปราบปรามกองทัพเรือของกษัตริย์อันติอ๊อคแห่งราชวงศ์ซิลิวซิด
ในศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล เมืองนี้ก็ได้เป็นจุดศูนย์กลางของการค้าทาสที่มีพวกโจรสลัดได้ตั้งตนเองเป็นหัวหน้าและเข้าควบคุมในการเดินเรือ จนพวกโรมันต้องส่งกองทัพเรือซึ่งมีแม่ทัพมาร์ค แอนโทนีเข้ามาปราบปรามแต่ทว่าไม่สำเร็จ (จึงกลายมาเป็นสถานที่เกิดตำนานรักอันโรแมนติกระหว่างมาร์ค แอนโทนีและพระนางคลีโอพัตรา ซึ่งได้นัดมาพบกันที่เมืองนี้) และต่อมาทางโรมก็ได้ส่งแม่ทัพปอมเปย์เข้ามาปราบปรามพวกโจรสลัดจนมีชัยชนะ และในปี 67 ก่อนคริสตกาลเมืองซิเด้ก็อยู่ภายใต้การปกครองของโรมันและมีความสัมพันธ์ร่วมมือกันเป็นอย่างดี


ในสมัยของจักรพรรดิออกุสตัส ได้มีการวางแผนในด้านการบริหารจัดการตามหัวเมืองต่างๆ และในปี 25 ก่อนคริสตกาลก็ได้ให้ดินแดนแพมฟีเลียและเมืองซิเด้อยู่ในจังหวัดกาลาเทียของโรมัน ซึ่งก็ทำให้เมืองซิเด้เป็นศูนย์กลางพาณิชย์ของด้านการค้าน้ำมันมะกอก และคาดว่ามีประชาอาศัยอยู่ประมาณ 60,000 คน และต่อมาก็ได้เป็นศูนย์กลางแห่งการค้าทาสในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้เมืองนี้มีความเจริญมั่งคั่ง พวกพ่อค้าที่ร่ำรวยก็จะช่วยบริจาคเงินทองสำหรับสร้างงานด้านสาธารณะประโยชน์ สร้างอนุสาวรีย์ ลงทุนสร้างการละเล่น พวกนักต่อสู้ที่เรียกว่า แกลดิเอเตอร์ (Gladiator)
ในราวศตวรรษที่ 4 เมืองนี้ก็เริ่มเสื่อมถอยลงเพราะว่ามีพวกที่บุกรุกมาจากที่ราบสูงของเทือกเขาเทา
รุส จนกระทั่งในศตวรรษที่ 5-6 พวกที่รอดชีวิตก็ได้กลายเป็นพวกที่อยู่ภายใต้ขอบเขตการปกครองของแคว้น
แพมฟีเลียตะวันออก ต่อมาในศตวรรษที่ 7 กองทัพเรือของพวกอาหรับที่ได้เข้ามาเผาบ้านเมือง ประกอบกับเกิดแผ่นดินไหว เลยทำให้เมืองนี้ถูกทิ้งร้างจนถึงศตวรรษที่ 10 ก็ได้มีผู้อพยพเข้ามาอยู่จนถึงในศตวรรษที่ 12 ทำให้เป็นเมืองใหญ่มีความเจริญขึ้นและมีพวกยิวเข้ามาอาศัยอยู่ในยุคของไบแซนไทน์ และต่อมาเมืองนี้ก็ได้ถูกทำให้รกร้างอีก เพราะว่าประชากรที่อาศัยอยู่ได้ถูกไล่และทิ้งบ้านเรือนอพยพไปอยู่ที่เมืองอันทาลย่าและต่อมาเมืองนี้ก็ถูกฝังไปโดยฝุ่นทรายที่ทับถมกันเป็นเวลานาน


ในอดีตเมืองนี้มิได้มีความเจริญมากมายนัก เป็นแค่หมู่บ้านชาวประมงที่เงียบสงบจนกระทั่งเมื่อประ
มาณ 20 ปีที่ผ่านมา ก็ได้มีกิจการก่อสร้างโรงแรมที่พัก รีสอร์ท ร้านอาหาร ร้านขายสินค้าและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย เพราะว่ามีการส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ทำให้เป็นธุรกิจที่สำคัญของเมืองนี้ มีซาก
โบราณสถานที่มีชื่อเสียงในยุคของกรีก โรมันและไบแซนไทน์ที่ได้ถูกอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี


วิหารของเทพอะพอลโล (Temple of Apllo) เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ตั้งอยู่สุดปลายแหลมของซิเด้ ริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน วิหารนี้ถูกสร้างอุทิศให้กับเทพเจ้าอะพอลโล ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง ถูกสร้างขึ้นในสมัยของโรมันมีความยาวประมาณ 30 เมตร กว้างประมาณ 17 เมตร และมีความสูงประมาณ 8 เมตร หัวเสาถูกตกแต่งด้วยลวดลายแบบโครินเทียน ส่วนด้านหน้าหันออกไปสู่ทางทะเลเพื่อให้
เป็นสถานที่ที่ได้มองเห็นสำหรับพวกเรือที่เดินทางมาค้าขายสินค้าที่บริเวณนี้
นอกจากนั้นวิหารแห่งนี้ยังถูกล้อมรอบไปด้วยสิ่งก่อสร้างโบราณสถานที่ย้อนยุคไปในราวศตวรรษที่ 7 และที่สำคัญคือ โรงละครโรมัน (Roman Amphitheatre) ซึ่งสามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 20,000 คน และโรงอาบน้ำแบบโรมัน (Roman Bath) ซึ่งในปัจจุบันได้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับเก็บรักษาวัตถุโบราณต่างๆที่ขุดค้นพบในบริเวณนี้ ภายในมีรูปปั้นไร้เศียรของเทพเจ้าหลายองค์ อันเป็นผลมาจากที่นักบุญปอลได้เข้ามาที่เมืองนี้และได้ชักจูงให้หันมานับถือศาสนาคริสต์ พวกชาวบ้านจึงพร้อมใจกันตัดเศียรรูปปั้นของเทพเจ้าที่พวกเขาได้นับถือก้นมาในอดีต ซึ่งต่อมาก็มีฐานะเป็นเขตปกครองของบิสชอบในยุคไบแซนไทน์ จนกระทั่งเสื่อมถอยลงในศตรวรรษที่ 7 เมื่อพวกอาหรับได้ยกกองกำลังเข้ามาโจมตีอย่างต่อเนื่อง และเป็นผลทำให้ซิเด้คงความเป็นอยู่อย่างทุกวันนี้



จากต้นถนน เดินมาเรื่อยๆ เมืองเก่าตรงนี้ยิงใหญ่แล้วก้อยาวมากๆๆ เราเดินร่วมกิโล ทีเดียว สุดตรงโน้นติดชายทะเลด้วย บรรญากาศดีมากๆ แต่เราไม่ได้ลงไปถ่ายรูปมาฝากกัน เพราะ อยู่กับทะเลซะจุใจ เรยมองไปทางไหนตอนนี้ มันก้อเหมือนๆ กันหมดเลย 55555


ได้เวลาอำลาเมืองเก่าซิเด้กันแล้ว ถัดจากนี้ไปอีกเล็กน้อย จะมีจุดแวะพัก ขำ ๆ 
เป็นธารน้ำตกเล็กๆ น่ารักๆ คือ  Manavgat Selalesi


เราแวะที่นี่ มีนักท่องเที่ยวเยอะพอสมควร ด่านแรกก้อเจออูฐ ก่อนเลย


Manavgat Selalesi น้ำตกตรงนี้ ก้อสีสวยอีกแล้ว ทำไมนะ ที่อันทาเลีย ทั้งน้ำทะเล
 น้ำตก ที่นี่ สีสวยๆ ทั้งนั้นเรย เราลองเอาเท้าไปเดินลุยมา น้ำเย็นมากกกก เย็นเป็นน้ำเย็นเรย คาดว่า
 ส่วนนึงน่าจะเป็นน้ำที่หิมะละลายมาจากยอดเขานะ เพราะ น้ำทะเล ก้อยังไม่เย็นเท่านี้เลยนะ


ค่าเข้า 3.50 Tl อุ้ยราคาน่ารักอ่ะ ข้างในจะมีร้านอาหารเครื่องดื่ม ของฝากของที่ระลึก 






กลับจากซิเด้ มาถึงโรงแรม ก้อไปว่ายน้ำต่อ ขำๆ ก่อนอาหารเย็น เหนื่อยจังวันนี้ ร้อนนิดหน่อย 
แต่ก้อมีความสุขกับการได้ไปเยี่ยมชมเมืองโบราณ


วันนี้เราขอพักผ่อนกับทะเลให้เต็มที่ เราทานอาหารเย็นกันริมทะเล ข้างสระน้ำ เพราะพรุ่งนี้ เราต้องกลับไปแล้ว แต่เราจะกลับไปแวะเบอร์ซ่าอีกรอบ อีกรอบ ก่อนจะกลับไปอิสตันบูล
 ที่สนามบินอาตาเติร์ก 


ตื่นสายๆ ทานข้าวกลางวันเรียบร้อย เราก้อออกจากโรงแรมมา ขากลับเห็นตามข้างทาง มีเพิงขายมันฝรั่ง อิอิอิ นึกถึงบ้านเราเรย แบบขาย โรตีสายไหม กล้วยไข่ ข้างทาง 
และอะไรต่ออะไร ทำนองนั้น อิอิอิอิ 






ถึงเบอร์ซ่าไปตอนค่ำๆ เราออกไปหาไรทานง่ายๆกัน พอเช้าอีกวันก้อไปหาซื้อไร ขำๆ แถวๆ 
ย่านอุลูจามี่ คือ ย่านมัสยิดอูลู 



เพราะวันนี้เรามี 3 สาว ไปด้วย อิอิอิ 2 สาวนั้นเป็นสาวไทยแท้ พี่นิดกับน้องเอมี่ น้องเอมี่เพิ่งย้ายมาอยู่เบอร์ซ่าได้ ไม่กี่เดือน เราก้อเรยชวนกันออกไปเดินเล่นกัน ขำ ๆ อีก 1 สาวน้อย นั้นเป็นสาวตุรกี 
ลูกครึ่งไทย อิอิอิ ลูกพี่นิดจ้าาา น่ารักไม้ล่าา น้องน้ำแข็ง


กลับมาเยี่ยมเยือน อูลูจามี่อีกรอบ อิอิอิ


ออกมาก้อไปเดินตลาดเล่น วันนี้พี่นิดจะทำยำอร่อยๆ ให้กิน หลังจากที่เมื่อวาน 
ตำแตงแซ่บๆ กันไปแล้ว กับไข่เจียว อิอิอิอิ อร่อยๆๆๆ



ผักผลไม้ที่นี่ สีสันสวยงามน่าดู ผลใหญ่ๆ ทั้งนั้น น่ากินดีอ่ะ 


อิอิ สักนิด 


เดินเล่นกันไป ตรอกซอยซอยเยอะแยะ คนเพียบ 


เรียกแท้กซี่กลับไปบ้านพี่นิด วันนี้ได้ของฝากอย่างละนิดละหน่อย ตามงบ 
อิอิอิ ประหยัดอ่ะนะ ต้องเข้าใจ



นอนบ้านพี่นิดในคืนที่ 2 เช้ามาตื่น เพื่อไปยังท่ารถบัสที่เบอร์ซ่า ต่อรถกลับไป อิสตันบูลเพื่อไปขึ้นเครื่องที่สนามบินอตาเติกร์ สถานีรถบัสอยู่ห่างจากนอกเมืองไปเล็กน้อย ใช้เวลา 4 ชม
จะไปถึงสถานีรถที่อิสตันบูล แล้วจึงต่อรถชัตเติ้ลบัสของสนามบิน จากท่ารถไปยังสนามบิน


พี่นิด กับครอบครัวมาส่งเรา ได้เวลาร่ำลากันซะที
ขอบคุณพี่นิดกับครอบครัวมากๆ ขวัญใจนักเดินทางคนยาก อย่างเราซะจริง ช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นทั้งเรื่องที่พัก อาหารการกิน คุณปู่คุณย่า ก้อน่ารัก ใจดีกันทั้งบ้าน ...... ขออัลเลาะห์ทรงประทานพร คุ้มครองพี่นิดและครอบครัวด้วยค่า .... อามิน



บ้ายบายเบอร์ซ่า มีโอกาสเราคงได้มาใหม่
เราได้รถของบริษัทปามุคคาเล ราคาประมาณ 5-600++ บาท จากเบอร์ซ่าไปยังอิสตันบูล


รถจะต้องขึ้นเฟอรรี่อีก 1 ต่อ ประมาณ 1 ชม ลงเฟอรี่ แล้ว เราก้ออกจากรถ ขึ้นไปนั่งเล่นเดินเล่นได้ ใกล้ๆ ถึงฝั่งก้อกลับไปขึ้นรถ เพื่อไปต่อ รถของปามุคคาเล นี่ดีอย่าง มีไวไฟ พร้อม ที่เสียบชารต์
ยูเอสบี มีจอทีวีให้ดูด้วย เริ่ดดด น้ำ ขนม ตลอดทาง

ดูวิวบนเฟอรรี่ คนเดียว ขำๆ คิดถึงตุรกี ชักจะไม่อยากกลับ อิอิอิ



รถออกจาเฟอรี่ ก้อไปต่อ ไปถึงจุดแรก นี่่ยังไม่ลง แต่เราจะมาลงยังจุดที่สอง รับกระเป๋าแล้วลงมารถรถชัตเติ้ลบัสฟรีไปสนามบิน
ลงมาตอนแรกนี่เอ๋อเรย เพราะมองแล้วไม่มีรถ มันจะมาตอนไหนก้อไม่รู้ ถามเจ้าหน้าที่ก้อพูดอังกฤษได้กันนิดหน่อย แต่ก้อพอจับใจความได้ว่า อีก 30 นาที รถจะมา เจอสาวตุรกี พูดอังกฤษได้น้ำไหลไฟดับ เธอคุยเป็นเพื่อนเราแล้วยังถามหารถให้ด้วย น่ารักจริงๆ เธอกำลังจะไปอังคารา เราเรยได้แต่ขอบคุณ และขอพรให้เธอทุกครั้งที่นึกถึง
เราเชื่อนะว่า การคิดดีทำดีของเรา ทำให้ไปไหนแล้ว ก้อจะได้เจอแต่สิ่งดีๆ คนดีๆ ซึ่งเราก้อถือว่า เป็นโชคดีของเราจริงๆ
อัลฮัมดุลิลาห์


มาถึงสนามบินแล้ว รถขับมาอีก 1 ชม ++ จากท่ารถ เพราะเวลานี้คนค่อนข้างเยอะพอสมควร เราจะบินในตอน 2 ทุ่มครึ่ง มาถึงสนามบิน แล้วก้อ เช็คอิน ผ่านตม แวะดิวตี้ฟรี ซื้อน้ำหอมที่เพื่อนๆ ฝากซื้อ หิวข้าว แต่ก้อรอไปกินบนเครื่องดีกว่า อิอิอิ ประหยัด 5555555



ดวงอาทิตย์ เริ่มจะลาลับ ตอนนี้เราอยู่บนเครื่องแล้ว อีกไม่นานก้อคงจะออกบิน
เตรื่องขึ้นบินแล้ว เราเองก้อน้ำตาซึม ๆ เมื่อมองลงไปเบื้องล่าง นี่เรากำลังจะต้องไปจาก ตุรกี ไปจากอิสตันบูล แล้วเหรอนี่
เวลามันช่างผ่านไปไวเหลือเกิน ไม่อยากกลับเรยยยยยยยยย
ได้แต่ภาวนาในใจว่า ขอให้เราได้กลับมาใหม่
กลับมายังสถานที่แห่งนี้ สถานที่อันเป็นที่รักของเรา ตุรกี แล้วฉันจะกลับมา ฉันสัญญา



มาถึงเมืองไทยตอนเช้า ๆ คิดถึงแผ่นดินแม่ที่สุด 
จะมีที่ไหนหนอ ที่ให้ความสุขและอบอุ่นได้อย่างประเทศไทย
จะอยู่ที่ใดในโลกนี้ก้อตาม เราก้อหาได้ลืมรากเหง้า และตัวตนบนผืนแผ่นดินเกิดไม่
คิดดีทำดี ก้อถือว่า ตอบแทนคุนแผ่นดินเกิดได้แล้ว
---------- ถึงบ้านแล้ว คิดถึงนายกับงานที่รออยู่ บรื๋อ --------


















ดอกไม้ทะเลทราย    นักเดินทางอิสระ ผู้ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์


ผู้แต่ง

กฎเหล็กของนักเดินทาง เราพบกันเพื่อจาก แม้จะอาวรณ์สักเพียงใด คงเอ่ยได้เพียงแค่คำลา


ร่วมแบ่งปันประสบการณ์กับการค้นหาตัวตน กับความเป็นฉัน  ........ได้ืัที่